จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
2546
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
การทดสอบเครื่องยนต์สเตอร์ริง(รุ่นเวอชันTrial B2) ทดลองเมื่อศุกร์ที่ 24 เมษายน 2558
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
การผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์
การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนิยมนำมาใช้ในรูปแบบเซลล์แสงอาทิตย์เป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังมีการคิดค้นเทคโนโลยีนำความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Thermal Process) มาผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายแว่นขยาย โดยใช้อุปกรณ์รับแสง เช่น กระจกหรือวัสดุสะท้อนแสงและหมุนตามดวงอาทิตย์ เพื่อรวบรวมความร้อนจากแสงอาทิตย์มาไว้ที่จุดเดียวกัน หรือที่เรียกว่า ระบบความร้อนรวมศูนย์ ทำให้เกิดความร้อนสูง ส่งผ่านไปยังตัวกลาง เช่น น้ำหรือน้ำมัน แล้วนำน้ำหรือน้ำมันที่ร้อนไปหมุนกังหันเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไป
ระบบความร้อนแบบรวมศูนย์นี้ ปัจจุบันยังไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากนัก เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะสูงกว่าการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ยังสามารถผลิตไฟฟ้าได้จากรังสีตรงเท่านั้น เช่น แสงอาทิตย์จากทะเลทราย ดังนั้น ระบบผลิตไฟฟ้าจากความร้อนแสงอาทิตย์จึงไม่เหมาะกับประเทศไทย เพราะแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่เป็นรังสีกระจายและมีเมฆมาก
การผลิตไฟฟ้าจากความร้อนแสงอาทิตย์สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ ตามกระบวนการรวบรวมความร้อนให้กับตัวกลาง ก่อนนำไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า ได้แก่
1)ระบบรางพาราโบลิค (Parabolic Through) ประกอบด้วยรางยาว โค้งมิติเดียวเป็นตัวรับแสง ติดตั้งอยู่บนระบบหมุนตามดวงอาทิตย์แกนเดียว ทำหน้าที่รวมแสงอาทิตย์ให้สะท้อนไปยังท่อที่ขนานกับแนวราง เพื่อถ่ายเทความร้อนให้ของเหลว (น้ำหรือน้ำมัน) ที่ไหลผ่านท่อ ทำให้ของเหลวนั้นกลายเป็นไอและไปขับเคลื่อนกังหันเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า หากในช่วงที่ไม่มีแสงอาทิตย์ การผลิตไอน้ำจะใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติเข้ามาช่วยเสริม
รูปที่ 1 แสดงระบบรางพาราโบลิค
2)ระบบหอคอย (Power Tower) ประกอบด้วยตัวรับความร้อนที่ติดตั้งอยู่กับที่ตั้งบนหอคอย ที่ล้อมรอบด้วยแผงกระจกขนาดใหญ่จำนวนมาก เรียกว่า “โฮลิโอสเตท” ซึ่งจะหมุนตามดวงอาทิตย์และสะท้อนแสงไปยังตัวรับความร้อน เพื่อให้ของเหลวที่อยู่ภายในได้รับความร้อนจนระเหยเป็นไอและไปขับเคลื่อนกังหัน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งระบบนี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและกำลังจะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น โรงไฟฟ้า Gemasolar ในเมือง Seville ทางตอนใต้ของประเทศสเปน เป็นต้น
รูปที่ 2 แสดงระบบหอคอย
3)ระบบจานพาราโบลิค (Parabolic Dish) ร่วมกับเครื่องยนต์สเตอร์ลิง (Stirling Engine) จะใช้หลักการแปลงความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานกลเพื่อนำไปผลิตไฟฟ้า โดยจะประกอบด้วยจานรวมแสงแบบพาราโบลิคและเครื่องยนต์สเตอร์ลิงกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยทำงานด้วยการส่งผ่านความร้อนของแสงอาทิตย์ ให้กับลูกสูบของเครื่องยนต์สเตอร์ลิง ที่ติดตั้งบนจุดโฟกัสของจานพาราโบลิค เมื่ออากาศภายในลูกสูบมีอุณหภูมิสูงขึ้นและขยายตัวจนทำให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวรวมแสงแบบจานพาราโบลิคจะมีผิวสะท้อน โดยประกอบด้วยแผ่นสะท้อนแสงหลายชิ้นประกอบกัน และมีระบบขับเคลื่อนแบบ 2 แกน หมุนตามดวงอาทิตย์ตลอดทั้งวัน
รูปที่ 3 แสดงระบบบจานพาราโบลิคร่วมกับเครื่องยนต์สเตอร์ลิง
ในที่นี้เราจะศึกษาการผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์โดยใช้จานพาราโบลิคร่วมกับเครื่องยนต์สเตอร์ลิง
การประดิษฐ์จานพาราโบลิค
วัสดุอุปกรณ์
1. จานดาวเทียม
2. กระจกเงาราบขนาด 5x5 cm
3. กาวซิลิโคน
4. กระดาษแข็ง
5. กระดาษฟรอยด์
6. ลวด
7. กาวสองหน้าอย่างหนา
8. ทินเนอร์
7. ฟองน้ำล้างจาน
ขั้นตอนการประดิษฐ์จานพาราโบลิก
1. ติดกระดาษแข็งบนจานดาวเทียม โดยใช้ลวดเย็บ
2. ติดกระจกจากด้านในออกด้านนอก โดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางของจานดาวเทียม
3. นำกระดาษฟรอยด์ มาติดที่ขอบให้โค้งตามรูปของจานดาวเทียม
4. ใช้ฟองน้ำจุ่มทินเนอร์แล้วขัดกาวซิลิโคนที่ติดบนกระจก เพื่อให้กระจกใสสะอาดเหมือนเดิม
5. จานพาลาโบลิคที่เสร็จสมบูรณ์ (กระดาษฟรอยด์ไม่พอ 55+)
ที่มา http://www.egco.com/th/energy_knowledge_solar3.asp
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์!!! วันแห่งการผจญภัย ^^
หลายคนคงจะสงสัยใช่มั้ยค่ะ วันอาทิตย์ วันแห่งการผจญภัยแล้วเกี่ยวข้องกับงานของเรายังไงไปดูกันเลยค่ะ ต้องขอบอกว่าตั้งเเต่เริ่มเเรกการที่เราใช้กระดาษห่อของขวัญติดกับฝาชีมันช่างไม่ดีเอาเสียเลย พวกเราจึงต้องหาอะไรที่ใช้งานได้ดีขึ้นไงล่ะค่ะ เข้าเรื่องกันเลยนะ สำหรับวันนี้นะค่ะ เราได้แบ่งออกกันเป็น 2 กลุ่มค่ะ กลุ่มแรกมี3คนขอแทนว่าคือกลุ่มAแล้วกันนะค่ะ ส่วนอีกกลุ่มมี2คนค่ะขอเรียกว่ากลุ่มBแล้วกัน
ภารกิจของกลุ่มA ก็คือการออกหาซื้อจานดาวเทียมเก่ายี่ห้อ PSI ฟังดูเหมือนงานง่ายสบายๆใช่มั้ยค่ะ แต่มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดหรอกค่ะ สำหรับคนที่ไม่รู้จักสถานที่อย่างพวกเราแล้วมันคืองานใหญ่เลยทีเดียว พวกเราออกหาร้านขายจานดาวเทียมกันตอน9โมงเช้า เริ่มแรกเราเข้าไปหาที่ร้านขายของเก่า ซึ่งไม่ไกลจาก ม. มากนัก สิ่งที่ได้คือ น้องค่ะ จานดาวเทียมมีแต่อันนี้แหละค่ะ มันใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเเล้ว(แม่เจ้ามันใหญ่เกินไปค่ะ) เกินความจำเป็นของพวกเราเลย ดังนั้นเราจึงออกเดินทางกันต่อ โดยพี่เจ้าของรัานขายของเก่าเป็นคนบอกทางให้ แต่เป็นเรื่องที่ตลกไม่น้อยเพราะเราฟังคำพื้นเมืองภาคเหนือไม่เข้าใจ สรุปง่ายๆคือเราต้องเดินทางไปเรื่อยๆเองค่ะ แต่เหมือนโชคจะเข้าข้าง เพราะเราได้ไปเจอร้ายขายจานดาวเทียม พี่เจ้าของร้านจึงไปหาจานมาให้เราค่ะ แต่เราไม่ได้จานในวันนี้นะค่ะ เพราะต้องรอให้พี่เค้าหามาให้ได้ก่อน ภารกิจเเรกจึงทำสำเร็จเวลาประมาณ 11โมงค่ะ ต่อไปเราไปดูภารกิจของกลุ่มB กันบ้างนะค่ะ (หว้าเสียดายจังกลุ่มAไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้เลย)
ภารกิจของกลุ่มB ก็คือการออกไปซื้อกระจกเงาค่ะ เอ๊ะ!หลายคนคงสงสัยเเน่เลยว่ากระจกเงาเป็นยังไง??? กระจกเงาก็คือกระจกที่ใช้ในการแต่งหน้านั่นแหละค่ะ เเล้วเราเอากระจกไปทำอะไรล่ะเนี่ย คำตอบคือ เราจะนำกระจกไปติดกับจานดาวเทียมไงล่ะค่ะ ดังนั้นเราจึงตัองใช้กระจกเยอะพวกสมควร แต่ขอบอกตามตรงเลยเรา2คนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเส้นทางในเดินทางครั้งนี้เลย เราจึงเริ่มจากการหาร้านในอินเตอร์เนตนี่แหละค่ะ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้มากค่ะ เพราะการเริ่มจากศูนย์ของเราก็มีค่ามากขึ้น เมื่อเราโทรไปหาร้านรุ่งโรจน์อะลูมิเนียม จากนั้นเราก็ถามถึงขนาดกระจกที่ต้องการ ไชโย ร้านมีขนาดของกระจกที่เราต้องการจริงด้วย คุณลุงบอกว่า ร้านอยู่ตรงข้านร้านฟ้าใสหมูกระทะ OKเลย เราจึงเริ่มออกเดินทางกันตอน9โมงครึ่งโดยรถโดยสาร คุณลุงเจ้าของรถจึงพาเราไปร้านรุ่งโรจน์อะลูมิเนียม พอไปถึงโชคร้ายจังเลย ร้านยังไม่เปิดค่ะ ลุงคนขับรถจึงพาเรา2คนให้ไปลงในตลาดค่ะ ลุงบอกว่าจะมีร้านอยู่เเถวนั้น ให้เราลองเดินหาดู เรา2คนจึงเดินหาไปเรื่อยๆ แต่หาไม่เจอเลยเข้าไปถามพี่เค้า พี่เค้าบอกเราว่าร้านย้ายไปอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลเเล้ว เพลียเลยค่ะ เเล้วจะทำไงล่ะทีนี้ เพื่อนอีกคนเลยพูดขึ้นมาว่า "งั้นเราลองโทรหาเจ้าของร้านรุ่งโรจน์มั้ย" ตามนั้นค่ะ เราจึงโทรหาร้านรุ่งโรจน์ คุณลุงเจ้าของร้านน่ารักมากค่ะ คุณลุงบอกว่าจะให้ลูกชายเปิดร้านให้ค่ะ เพราะคุณลุงอยู่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่ ทำไงได้ล่ะที่นี้รถก็ไม่มี เดินสิค่ะ ประมาณ เกือบ 3กิโลเลยที่เดียวที่เดินกัน(ปล.มีการหลงทางเกิดขึ้นด้วย555)เย้ ในที่สุดเราก็มาถึงร้านจนได้ เป็นอันว่าวันนี้เราได้ซื้อกระจกเป็นที่เรียบร้อยเเล้วค่ะ ด้วยราคา 800 บาท
เป็นไงล่ะค่ะกระจกของเราใหญ่พอมั้ยเอ่ย ใหญ่ขนาดนี้เเล้วเราจะเอากลับ ม. ยังไงล่ะเนียกลุ้มๆ แต่ดูเหมือนว่าพี่เสื้อฟ้าจะเข้าใจเราสองคนนะเนี่ยเลยแบ่งกระจกออกเป็นสี่ส่วนให้เรา
เย้ๆ ที่นี้เราก็เอากระจกกลับ ม. ได้เเล้วสินะ ขอบคุณค่ะพี่เสื้อฟ้า ที่ทำให้ภารกิจของเราเส็จสิ้นในเวลา เที่ยงกว่าของวันนี้
ได้เวลาแล้วค่ะพี่กลุ่มAและกลุ่มBจะมารวมกัน เราจึงนัดเจอกันประมาณ เที่ยงครึ่งที่ตึกวิทยาศาสตร์ค่ะ นัดกันทำไม?? ก็เพื่อมาช่วยกันตัดกระจกไงล่ะค่ะเพราะเราต้องตัดกระจกขนาด 5cm x 5cm ค่ะ โดยมีพี่นักวิทย์ของเราเป็นคนช่วย แต่ผลที่ออกมาเราตัดกระจกได้เละมากเลยค่ะ กระจกหักไม่เป็นรูปเลย ก็พวกเราตัดกระจกไม่เป็นกันนี่ค่ะ มันคือครั้งแรกเลยนะ แฟนๆก็ต้องเข้าใจกันหน่อยน่าว่าครั้งแรกก็ต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้นกันบ้าง 555 แต่พวกเราไม่กล้าเสี่ยงตัดกระจกอีกต่อไป ก็มันตั้ง 800 บาทถ้าเสียขึ้นมาทั้งแผ่นก็เเย่สิค่ะ พวกเราจึงตัดสินใจไปให้ร้านตัดให้ค่ะ ก็พากันไปร้านเดิมนั่นแหละค่ะ แต่ครั้งนี้เราไปกันครบ5คนเลย ไปถึงพี่เค้าใจดีมากเลยค่ะตัดให้พวกเราด้วย
พี่เค้าตัดกระจกเก่งมากเลยค่ะ อุปกรณ์ตัดกระจกของพี่เค้าก็มีไม่เยอะ ตัดเก่งเเละคุยเก่งด้วยค่ะ รู้สึกเป็นกันเองขึ้นมาเยอะเลย ^^
แต่เราไม่อยู่เฉยให้เวลาเสียเปล่าหรอกใช่มั้ยล่ะ ก็เข้าไปช่วยพี่ลูกชายเจ้าของร้านไงค่ะ ถึงเเม้พวกเราตัดกระจกไม่เป็น เราก็วัดกระจก หักกระจก แล้วก็เรียงกระจกลงกล่องได้นี่ งั้นจัดไปค่ะ เราไปช่วยพี่เค้ากันดีกว่า
แต่มีเรื่องเซอไพรส์มากกว่านั้นค่ะ ขณะที่พวกเราช่วยพี่เค้าอยู่ พี่ร้านจานดาวเที่ยมก็โทรมาหาว่าได้จานมาเเล้ว ดีใจมากค่ะ ราคาจานดาวเทียมอยู่ที่ 730 บาทค่ะ โอ้โหเสียเยอะจังวันนี้ เราจึงช่วยพี่เค้าจนเสร็จเรียบร้อย พี่เค้าคิดเงินเรา 100 บาท พี่เค้าใจดีจังตัดกระจกตั้งเยอะคิดแค่ 100 บาท ขอบคุณมากนะค่ะพี่เสื้อฟ้า (พี่ชื่ออะไรไม่รู้หรอกค่ะพี่เค้าใส่เสื้อสี้ฟ้า) สรุปภารกิจของพวกเราวันนี้เสร็จสิ้นที่เวลาห้าโมงเย็นค่ะ(โล่งเลยค่ะวันนี้ โล่งเงินในกระเป๋านะค่ะ 555)
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558
เครื่องยนต์สเตอร์ริง(รุ่นเวอชันTrial B2)
เครื่องยนต์สเตอร์ริง(รุ่นเวอชันTrial B2)
จากที่ได้เกรินนำไปก่อนสงกรานต์น่ะครับ ว่าเราได้นำเสอนวิธีการทำเครื่องยนต์สเตอร์ริงแบบง่ายออกไปโดยครั้งนี้ท่านจะเห็นว่าหัวข้อของเครื่องยนต์ที่เราทำนี้อยู่ในเวอชัน2 ที่เป็นเราตั้งเป็นเวอชัน2เนื่องจาก
ก่อนหน้าเวอชันนี้เราได้ลองทำมาแล้ว ซึ่งผลปรากฎว่ามันแย่มากเรายอมรับว่าเวอชันนั้นเราไม่กล้าออกนำเผยแผร่ ^_^
ซึ่งเวอชันนี้ผมได้ใช้เวลาช่วงสงกรานต์ในการทำ (แต่ที่ไม่ได้เอามาให้แฟนๆติดตามเนื่องจากผมไม่มีกล้องจะถ่ายให้ได้ดู)
ซึ่งอุปกรณ์ที่เราใช้ก็ไม่ได้ต่างกับที่เราอ้างอิงเอาไว้ครั้งที่แล้ว แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคือกาวครับ
ซึ่งกาวที่เราต้องการจะมาทำนั้นมันต้องทนความร้อนได้ระดับหนึ่ง เราจึงเตร่ไปร้านขายของต่างๆเพื่อหากาวที่จะทนความร้อน จนสุดท้ายนั้นได้มาลงหลักที่ ซีลีโคน
ภาพนี้เป็นภาพปืนซีลีโคนที่ซื้อมา เอาตามจริงที่แลปของผมก็มีแต่ผมคิดว่าคงจะใช้เยอะมากในการทำกระจกรวมแสงเวอชัน trialA2 เนื่องจากผมได้ลองเอากระจกรวมแสงเวอชัน trialA1 มารวมแสงแล้วมันไม่สามารถรวมแสงได้เลยคงจะมาจากความโค้งของฝาชีที่ไม่ดีพอและความแวววาวของวัสดุที่ใช้สะท้อนแสงอีกด้วย
กลับมาที่การทำตัวสเตอริงกันต่อ เนื่องจากในครั้งที่แล้วมีการเพิ่มในส่วนของวิธีทำในขั้นตอนที่ละเอียดไปแล้วในตอนนี้ผมจึงยกชิ้นงานที่สำเร็จเข้ามาเลยแล้วกัน
จากภาพจะเห็นว่า มันมีความแตกต่างจากที่เราอ้างอิงตรงที่ผมได้แยกส่วนระหว่าง ส่วนที่ทำให้เกิดการหมุนกับส่วนที่รองรับอากาศที่เกิดขึ้นเมื่อลูกสูบปั๊มลง(ส่วนลูกโป่ง)ทั้งนี้เนื่องจากผมคิดว่าถ้าเราทำแบบนี้อาจจะทำให้ลูกโป่งได้รับความร้อนน้อยและได้รับความเสียหายจากความร้อนที่เกิดขึ้นน้อยที่สุด
ทั้งนี้ผมได้มีการทดลองในระดับหนึ่งไปแล้วแต่เนื่องด้วยความร้อนที่ใช้ทดสอบอาจจะยังไม่พอ ผมจึงยกยอดเอาผลการทดลองมาให้ดูในครั้งต่อไป
แต่ในครั้งต่อไปเราจะมีการต่อพ่วงมอเตอร์เข้าไปกับข้อเหวี่ยง และวให้เครื่องทำการหมุนมอเตอร์(แทนที่ปกติเราจะให้มอเตอร์หมุน)ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้พบว่าขดลวดที่ทำให้เกิดการหมุนจะทำให้ไปเหนี่ยวนำกับแม่เหล็กแล้วจึงเป็นผลทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเป็นoutputออกมา
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558
กระจกรวมแสง(รุ่น trial A1)
วันนี้พวกเราได้ลองหาวัตถุที่มีลักษณะคล้ายๆพาราโบลอยด์ เพื่อที่จะเอามาทำกระจกขนาดใหญ่ที่ไว้รับแสง สำหรับบางคนที่ยังงงๆอยู่ว่าเอ๊ะ!! "พาราโบลอยด์มันคือจังได๋?" ทำไมมันมีชื่อเหมือนกราฟพาราโบลาที่ตอนเราเรียนอยู่ ม.3 เลยล่ะ คำตอบคือ มันเป็นพ่อเป็นลูกกันครับ แล้วยังไงล่ะ? ดูภาพครับ
รูปที่1
(อ้างอิงภาพจากfltsolver.wordpress.com)
นี่เป็นกราฟพาราโบลาที่เราๆคุ้นเคย ถ้าเราลองจินตนาการว่าเราหมุนกราฟนี้ไปรอบๆแกนx แล้วให้บริเวณที่กราฟผ่านไปมีพื้นที่เกิดขึ้น จนมันหมุนกลับมาที่เดิม เราจะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผิวโค้งพาราโบลอยด์คับ เช่นภาพด้านล่างนี้
รูปที่2
(อ้างอิงภาพจาก kanchanapisek.or.th)
ซึ่งไอ้พวกผิวโค้งประเภทนี้ เค้ามักนิยมนำมันมารับแสง หรือรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพราะถ้าพวกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้ามาจากระยะอนันต์มากระทบที่ด้านในของผิวโค้งนี้ แล้วมันก็จะมารวมกันที่จุดโฟกัสของผิวโค้งพอดิบพอดี
ซึ่งความสามารถอันน่าทึ่งอันนี้นี่เองที่ผมจะนำมารวมแสง ซึ่งวัถุที่ผมได้ไปดูไว้นั้นก็มีหลากหลายแบบ ได้แก่ ร่ม(เป็นบางชนิด) กระทะ และฝาชี เป็นต้น ซึ่งสุดท้ายแล้วผมก็เลือที่จะใช้ฝาชี ด้วยเหตุผลคือ ร่มมันไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไร ส่วนกระทะเท่าที่ผมไปดูมาที่ร้านค้าหน้ามหาวิทยาลัย ก็มีหลายๆขนาดแต่ผมอยากให้แสงที่ตกกระทบมีปริมาณมากจึงต้องใช้กระทะใบใหญ่ ซึ่งไอ้กระทะใบใหญ่นี่ ราคาก็ตกอยู่ที่ 500 กว่าบาท (นึกถึงไอ้กระทะที่เค้าเอาไปใช้ทำกับข้าวเลี้ยงคนในงานวัดแหละครับ) ซึ่งบอกเลยครับว่ายังไม่กล้าลงทุน(จริงๆก็ไม่มีตังแหละครับ55555)
เอาล่ะครับหลังจากพูดน้ำไปเยอะ ตอนนี้มาดูการทำผิวโค้งรวมแสง(หรือเรียกว่ากระจกเว้าก็ได้ครับ)กันเลยครับ
นี่เป็นฝาชีที่ผมไปหามาได้ ส่วนการที่เราจะทำให้มันสามารถสะท้อนแสงได้นั้น เราต้องติดกระจกเงาราบบชิ้นเล็กๆให้กับมัน แต่เนื่องจากเป็นเป็นรุ่นทดลองเราจึงใช้กระดาษ ที่มันสะท้อนแสงได้เหมือนกระจกมาใช้แทน
อย่างเช่นกระดาษห่อของขวัญราคาถูก
ขั้นตอนแรก
เราพยายาจะตัดกระดาษเป็นชิ้นส่วนเล็กๆเพื่อให้ง่ายในการติด และจะทำให้กระดาษโค้งงอไปตามรูปทรงของฝาชีอีกด้วย
ชิ้นส่วนนี้เอาไว้เป็นแบบในการตัดกระดาษห่อของขวัญครับ
ขั้นตอนที่2
ขั้นตอนนี้ต้องใจเย็นนิดหนึ่งครับ เพราะบอกเลยว่า แลดูง่ายๆแต่ถ้าติดให้สวยนี่ ยากอยู่น่ะครับ
การทำก็ง่ายๆมีแค่สองขั้นคร่าวๆประมาณนี้แหละครับ เพราะที่เหลืออย่างที่บอกต้องใช้พลังสมาธิครับ ต่อจากนี้จะเป็นภาพที่ประมวณมาเก็บครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)